จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2562

วิธีเพาะเชื้อเห็ดปลวก หรือเห็ดโคน เพาะเองได้ง่ายๆ เพาะกินได้ เพาะขายก็รวย!





สวัสดีคุณเกษตรกรทุกท่าน หลายคนอาจกำลังอาหารอะไรทำว่างๆ แล้วได้เงิน วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ทุกท่านไปรู้จักกับวิธีการ“เพาะเห็ดปลวก” บอกเลยว่าทำง่ายมากใครๆ ก็สามารถทำได้แถมยังเอาไปขายได้กำไรงามอีกต่างหาก
โดยธรรมชาติแล้วเห็ตปลวกที่เติบโตได้ดีจะต้องมีความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะ โดยวันนี้เอาเราจะพาเพื่อนๆ ไปทำที่ละขั้นตอนเลย ไม่ยากอย่างที่คิดไปชมกันเลยค่ะ
วิธีเพาะเห็ดปลวก หรือเห็ดโคน
“เห็ดปลวก”  เป็นเห็ดโคนที่เติบโตได้ดีในสภาพธรรมชาติ ความชื้นและอุณหภูมิที่พอเหมาะ เนื่องจากจอมปลวกเป็นแหล่งที่มีความชุ่มชื้นที่เหมาะสม
เมื่อฝนตกทำให้ปลวกทำการอพยพออกจากรังเดิม ก็จะปรากฎตุ่มดอกเห็ดเล็กๆ ทำให้เห็ดที่โตจากจอมปลวกนั้น เป็นดอกเห็ดที่มีคุณภาพ ความชุ่มชื้นสูง
โดยปกติแล้ว เห็นโคน ค่อนข้างหายาก และออกผลผลิตให้ทานปีละครั้ง ทำให้มีราคาแพง มีรสชาติหวานอร่อยกว่าเห็ดอื่นๆ ปรุงง่ายเพียงต้มกับเกลือก็ได้น้ำต้มเห็ดรสหวานตามธรรมชาติ นอกจากนำไปต้มกับน้ำเกลือแล้วเราอาจนำเห็ดโคนไปประกอบอาหารที่หลากหลาย

เตรียมส่วนประกอบ ดังนี้
1. ข้าวเจ้าหุงสุกแล้ว 1 กก.
2. จาวปลวก (รังปลวก) เท่ากำปั้น 1 จาว
3. น้ำ 20 ลิตร
วิธีทำ
1. ผสมข้าวสุกกับจาวปลวกคลุกเคล้าให้เข้ากัน เสร็จแล้วหมักใส่น้ำเปล่า 20 ลิตร ทิ้งไว้ในที่ร่มประมาณ 7-10 วัน
2. เมื่อครบกำหนดตามขั้นตอนแรกแล้ว จะปรากฎเห็นผิวน้ำที่หมักเป็นลักษณะขึ้นฝ้าสีขาว ให้นำไปราดลงตรงจอมปลวกหรือใกล้ๆ จอมปลวก (ใส่บัวรดเลยครับ) คุมด้วยฟางหรือเศษหญ้าแห้ง รดน้ำให้ชุ่มเสมอ ทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 วัน เห็ดจะเริ่มโผล่ออกมาให้เก็บ

ตลอดปี ยิ่งรดโดนตัวปลวกเลยยิ่งดีเพราะตัวปลวกจะนำเชื้อเข้าสู่รังและกระจายเชื้อในรังทั้งจอมปลวกออกตลอดทั้งปีถ้ารดน้ำให้ความชื้น
นิดหนึ่งครับ ขั้นตอนทั้งหมด สิ่งสำคัญมี 3 อย่างครับ เป็นขั้นตอนการเตรียมหัวเชื้อ
1. จาวปลวก (รังปลวกใหญ่)
2. ข้าวจ้าวหุงสุก
3. น้ำสะอาดที่ไม่
มีสารคลอรีน (คลอรีนจะเป็นตัวทำลายเชื่อที่เราเพาะเลี้ยง) ถ้าจะเอาน้ำประปาทำต้องเปิดน้ำทิ้งไว้ในถัง 18-20 ชั่วโมง เพื่อให้สารคลอรีนใน น้ำประปาละเหย ออกก่อนครับ

การเพราะเห็ดโคนหรือเห็ดปลวก ในรูปแปลงเพราะหรือแปลงปลูก ยังไม่สามารถเพราะได้ แต่สูตรนี้เป็น สูตรการทำน้ำหมักอีกหนึ่งสูตรจากจาวปลวก(รังปลวก)แล้วเจ้าของสูตร ได้ทดลองเอาน้ำหมักที่ได้ ลองไปรดที่จอมปลวก(โพนปลวก)แล้วเอาหญ้าแห้งปกทิ้งไว้
เวลาผ่านไป 7-14 วัน ได้ไปเปิดฟาง(หญ้าแห้ง) ออกเจอเห็ดปลวกเกิดขึ้นมา
ประโยชน์และสรรพคุณของเห็ดโคน
– ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรงมีพละกำลัง
– ช่วยทำให้ร่างกายเจริญอาหาร
– แก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือเวียนศีรษะ
– ช่วยให้เสมหะเหนียวๆ ที่ติดอยู่ในลำคอละลายออกมาได้
– ช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรัง
– ช่วยยับยั้งเชื้อโรคอย่างไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย ซึ่งเป็นแบคทีเรียร้ายไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย
– ทำให้ระบบการทำงานของกระเพาะอาหารสามารถย่อยได้ดี
ซึ่งจะเห็นได้ว่าเห็ดโคนนี้มีคุณค่ามากมายเลยทีเดียว และที่สำคัญสำหรับรสชาตินั้นยังจัดว่าหวานและอร่อยมากกว่าเห็ดชนิดอื่นๆ อีกด้วย
แต่สามารถหารับประทานกันได้เพียงแค่ปีละครั้งเท่านั้นในช่วงฤดูฝน และด้วยความที่ป่าธรรมชาติที่ค่อยๆ ลดลงไปในปัจจุบัน ทำให้เห็ดโคนเริ่มกลายเป็นของหายากและมีราคาแพง
ขอบคุณที่มา : www.item2day.com/วิธีเพาะเชื้อเห็ดปลวก-ห.html

'ผักหวานป่า' พืชผักสวนครัว หากินง่าย สร้างรายได้ดี



พื้นที่ไร่ครึ่งปลูกพืช 10 ชนิด สร้างรายได้เดือนละครึ่งแสน ทำยังไงต้องดู...
SME ชี้ช่องรวย (smechannel)
สนับสนุนเนื้อหา
พื้นที่ไร่ครึ่งของเกษตรกรใน จ.นครปฐม สร้างรายได้เฉลี่ยเดือนละครึ่งแสน จากการทำเกษตรประณีต ใช้เคมีน้อย โดยปลูกพืช 10 ชนิดเต็มพื้นที่เป็นชั้นๆ สลับเก็บผลผลิตหมุนเวียนขาย มีรายได้รายวัน-รายเดือนตลอดปี
ต้นสักทอง 700 ต้นปลูกเป็นแนวให้ต้นพลูได้เกาะเกี่ยว เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และสูงตามต้นสัก ให้ผลผลิตมากกว่าการปลูกต้นพลูเกาะต้นทองหลางแบบเดิม เกษตรกรชัยยาบอกว่า ต้นทองหลางขึ้นรกและไม่ให้ประโยชน์ ส่วนต้นสักใบใหญ่ให้ร่มเงาดี ราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้านล่างยังสามารถปลูกส้มโอ มะนาว และใบชะพลูได้เต็มพื้นที่ไร่ครึ่ง รดน้ำให้ปุ๋ยครั้งเดียวก็ถึงพืชทุกชนิด และได้ผลผลิตหมุนเวียนขาย โดยชะพลูเก็บขายได้ทุกวัน วันละ 30-40 กิโลกรัม ส่วนใบพลูให้รายได้ทุกเดือน
ร่องสวนปลูกเตยหอม รอบบ้านปลูกผักสวนครัว เช่น พริก กะเพรา โหระพา แมงลัก สะระแหน่ ทั้งหมดใช้ปุ๋ยชีวภาพและสารสกัดธรรมชาติไล่แมลง เก็บขายได้ทุกวัน ส่งให้แม่ค้าในหมู่บ้านไปจำหน่ายในตัวเมืองนครปฐม รวมปลูกพืช 10 ชนิด ให้รายได้เฉลี่ยเดือนละ 50,000-60,000 บาท
กำนันตำบลแหลมบัว อำเภอนครชัยศรี ยกสวนนี้เป็นตัวอย่างการทำเกษตรประณีตแบบธรรมชาติ ใช้สารเคมีน้อย ปลูกพืชหลากหลายชนิดในแปลงเดียวกัน ซึ่งช่วยลดต้นทุน ใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเต็มที่ และสร้างรายได้ต่อเนื่อง เหมาะกับตำบลแหลมบัว ซึ่งเป็นพื้นที่ดินดำน้ำชุ่ม หากเกษตรกรทุกรายยึดแนวทางจะไม่เป็นหนี้ และไม่จำเป็นต้องขายที่ทำกิน
ประชากร 70 เปอร์เซ็นต์ของตำบลแหลมบัว เป็นเกษตรกร ขณะนี้เกินครึ่งหันมาใช้สารชีวภาพมากขึ้น จากเดิมใช้สารเคมีเพียงอย่างเดียว แต่ละรายมีพื้นที่เฉลี่ย 5 ไร่ และกำลังเดินไปสู่เกษตรผสมผสานตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้เป็นแหล่งผลิตเกษตรยั่งยืน อาหารปลอดภัยอีกแห่งหนึ่ง.

ขอบคุณที่มา : https://www.sanook.com/money/276925/

เกษตรกรพะเยา ปลูก ‘หอมจีน’ จำหน่ายสร้างรายได้งาม






เกษตรกรในจังหวัดพะเยาปลูก ‘หอมจีน’ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการปลูกเพียง 45 วัน สามารถจำหน่ายได้ไร่ละ 4-5 หมื่นบาท
วันที่ 16 พ.ค.61 เกษตรกรในพื้นที่ตำบลแม่นาเรือ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ทำการปลูกหอมจีนเพื่อจำหน่ายต้นหอม ให้กับลูกค้าและเป็นที่ต้องการของตลาดรวมถึงยังมีราคาที่ดีอีกด้วย โดยนางรุ่ง ภูมิภาค เกษตรกรในพื้นที่ตำบลแม่นาเรือ ระบุว่า ตนเองปลูกหอมจีน หรือทั่วไปเรียกว่าหอมแบ่ง จำนวนประมาณ 9 ไร่
ซึ่งจะจำหน่ายเป็นต้นหอมให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่เดินทางมารับซื้อถึงในสวน โดยจะใช้ระยะเวลาการปลูกประมาณ 45 วัน  จากนั้นก็จะมีพ่อค้าแม่ค้าเดินทางเข้ามารับซื้อ โดยจะรับซื้อในราคาที่เหมากันเป็นไร่ ไร่ละประมาณ 4-5 หมื่นบาท ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่ดี ตนเองได้ทำการปลูกหอมจีนมาเป็นระยะเวลาหลายปี ในแต่ละปีก็จะมีพ่อค้าเดินทางมารับซื้อต้นหอมที่นี่อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ นายกฤษฎาพงษ์ นนท์ศรี ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่หมู่ที่ 3 ตำบลแม่นาเรือ ระบุว่า ชาวบ้านในพื้นที่ตำบลแม่นาเรือ ได้ทำการปลูกหอมจีนหรือหอมแบ่งดังกล่าวมาเป็นระยะเวลาหลายปี โดยมีเกษตรกรจำนวนประมาณ 200 ราย พื้นที่ปลูกประมาณ 500 ไร่
ในแต่ละปีจะสามารถจำหน่ายได้โดยพ่อค้าจะมารับซื้อโดยการเหมาเป็นไร่ อยู่ที่ประมาณ 4-50,000 บาท บางปีก็มีราคาสูงถึง 7 หมื่นบาทต่อไร่ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในตำบลเป็นอย่างมาก
ด้านนางอุษา ครุฑผาสุก แม่ค้าจากจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่เดินทางมารับซื้อต้นหอมดังกล่าว ระบุว่า ตนเองจะเดินทางมารับซื้อต้นหอมที่ในพื้นที่ตรงนี้เป็นประจำ เพื่อนำไปส่งต่ออีกทีหนึ่ง โดยในช่วงนี้ถือว่า ราคาต้นหอมที่นี่เริ่มขยับตัวสูงขึ้น แต่ในพื้นที่อื่นยังราคาต่ำอยู่
เนื่องจากคุณภาพของต้นหอมที่นี่จะสามารถเก็บได้นาน และมีคุณภาพซึ่งน่าจะเกิดจากสภาพอากาศที่ดี โดยขณะนี้จะรับซื้อในราคาเริ่มต้นที่ 35,000 -40,000 บาทต่อไร่ และคาดว่าราคาจะขยับตัวสูงขึ้นเนื่องจากพ่อค้าแม่ค้าเดินทางเข้าซื้อกันเป็นจำนวนมาก




ที่มา : https://news.mthai.com/economy-news/642113.html

สาวเลี้ยง ‘ด้วงสาคู’ แบบคูลๆ สร้างรายได้เกือบแสนต่อเดือน

สาวเลี้ยง ‘ด้วงสาคู’ แบบคูลๆ สร้างรายได้เกือบแสนต่อเดือน





สาววัย 28 ปี หันมาเพาะเลี้ยง ‘ด้วงสาคู’ ส่งขายทั่วประเทศ สร้างรายได้ต่อเดือนเกือบ 1 แสนบาท
หากพูดถึง ‘แมลงทอด‘ ก็ต้องบอกว่ามีการนิยมรับประทานกันมานมนานแล้ว ทั้งตั๊กแตน จิ้งหรีด หนอนไม้ไผ่ หรือรถด่วน แมงดานา และอื่นๆอีกมากมาย เป็นที่ถูกอกถูกใจ และถูกปากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีคุณค่าทางอาหารโดยเฉพาะโปรตีน และสารอาหารอื่นๆ อีกมากมาย
วันนี้ MThaiNews ในช่วง ‘เกษตรสร้างรายได้‘ ขอนำเสนอแมลงอีกหนึ่งชนิดที่กระแสความนิยมเริ่มเพิ่มมากขึ้น นั้นคือ!!! ‘ด้วงสาคู‘ หรืออีกชื่อหนึ่ง ‘ด้วงมะพร้าว‘ ซึ่งแมลงชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างมากทางภาคใต้ของประเทศเรา และในหลายๆปีที่ผ่านมา ก็ได้แพร่หลายและมีการเพาะเลี้ยงกันทั่วประเทศ
ซึ่งทางทีมข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณทิติยา คำเถื่อน หรือคุณญา อายุ 28 ปี เจ้าของ ‘ด้วงสาคูฟาร์มมาดี‘ จ.เพชรบุรี ที่เลี้ยงด้วงสาคูจนประสบความสำเร็จอย่างมากอีกหนึ่งราย พร้อมเผยถึงวิธีการเลี้ยง และเทคนิคดีๆในการเพาะเลี้ยงเจ้า ‘ด้วงสาคู‘ ทำอย่างไรให้ผลผลิตออกมาดีและมีคุณภาพ…!!??
โดยคุณญา ได้เปิดเผยว่าเดิมทำธุรกิจร้านหมูกระทะในกรุงเทพฯ เป็นเวลา 8 ปี แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจ จึงเริ่มมองหาธุรกิจใหม่ทำ จนได้มาศึกษาและสนใจ ‘ด้วงสาคู‘ ซึ่งเป็นคนที่ชื่นชอบการทานแมลงอยู่แล้ว จึงไปตามฟาร์มเลี้ยงและเข้าอบรม
จนกระทั่งปี 59 ตัดสินใจซื้อพ่อแม่พันธุ์ มาประมาณ 50 คู่ แบ่งเป็น 10 กะละมัง กะละมังละ 5 คู่ โดยนำมาเลี้ยงที่บ้านใน จ.นนทบุรี จนผลผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก จึงเริ่มที่จะส่งขาย โดยเริ่มจากสื่อออนไลน์อย่างเฟซบุ๊กจนกลุ่มลูกค้าเริ่มขยายตัวมากขึ้น หลังจากนั้นจึงตัดสินใจย้ายแหล่งผลิตมาที่ จ.เพชรบุรี เนื่องจากมีพื้นที่เพียงพอต่อการเลี้ยง และต่อยอดได้อีกเป็นจำนวนมาก
คุณญา บอกก็ทีมข่าวว่า จริงๆแล้วเจ้า ‘ด้วงสาคู‘ เป็นแมลงที่เลี้ยงง่ายไม่ยุ่งอยากเท่าไหร่นัก โดยสูตรอาหารของทางฟาร์มจะใช่สัดส่วนดังนี้ 1.หัวอาหารสัตว์ และรำข้าว อย่างละ 3 ขีด / 2.มันสดบด 1 กิโลกรัม / 3.เปลือกมะพร้าวสับละเอียด 1 – 1.5 กิโลกรัม / 4.กากน้ำตาล 100 ซีซี นำมาใส่ภาชนะที่จะเลี้ยง โดยแนะนำว่าควรเป็นกะละมังขนาดประมาณ 50 เซนติเมตร
เมื่อเตรียมส่วนประกอบครบถ้วนแล้วน้ำมาผสมกันในกะละมัง โดยเติมน้ำลงไปให้พอแฉะๆ และใช้เปลือกมะพร้าวปิดหน้าอาหารไว้ พร้อมนำกล้วยน้ำว้า 2 ลูก มาวางไว้ เป็นอาหารสำหรับพ่อแม่พันธุ์ พร้อมนำฝามาปิดโดยให้มีรูระบายอากาศถ่ายเท
โดยจะเลี้ยง 5 คู่ ต่อ 1 กะละมัง ซึ่งปกติแล้วด้วงสาคูจะไข่ทุกวัน หลังจากปล่อยพ่อแม่พันธุ์ลงไปทิ้งระยะเวลาประมาณ 15 วัน เมื่อลูกตกแล้ว ให้จับพ่อแม่พันธุ์ไปเลี้ยงในกะละมังอันใหม่เพื่อขยายพันธุ์ต่อไป โดยวงจรชีวิตของเจ้าด้วงสาคู สามารถอยู่ได้ประมาณเดือนกว่าๆ ก็จะตาย
หลังจากนั้นก็หมั่นดูหน้าอาหารไม่ให้แห้ง ซึ่งถ้าหน้าอาหารแห้งก็ให้พรมน้ำ เลี้ยงจนตัวหนอนโตประมาณเท่านิ้วโป้ง ใช้เวลาประมาณ 25 วัน ก็สามารถจับส่งขายได้แล้ว แต่หากต้องการเลี้ยงเพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์ ต้องเลี้ยงไปอีกประมาณ 20 วัน ตัวหนอนก็จะเริ่มเข้าฝัก คล้ายดักแด้ หลังจากนั้นอีกประมาณ 10 วันก็จะออกมาเป็นตัวด้วงสาคู ส่วนการดูเพศนั้นตัวผู้จะมีงวงสั้นกว่าตัวเมีย และงวงของตัวผู้จะมีขนเล็กๆอยู่ ขณะที่ตัวเมียงวงจะเรียวยาว
สำหรับวิธีการส่งขายตัวหนอนด้วงสาคู ก่อนจะนำส่ง 1 วัน ทางฟาร์มจะทำการล้างท้องตัวหนอน ด้วยการให้หนอนด้วงกินกะทิ หรือแช่น้ำและใส่พริกไทยไว้ 1 คืน เพื่อเพิ่มรสชาติ ซึ่งหากไม่ล้างท้องกลิ่นของตัวหนอนก็จะมีลักษณะเหมือนสูตรอาหารที่เลี้ยงไว้ โดยใน 1 กะละมัง จะได้น้ำหนักตัวหนอนประมาณ 8 ขีด หรือประมาณ 100-150 ตัว
ส่วนราคาขายจะแบ่งเป็น 2 แบบ คือแบบขายเป็นตัวสดๆ จะขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 250 บาท และแบบแช่ฟรีซ สามารถอยู่ได้ 7-8เดือน ราคาจะอยู่ที่ 350 บาท ต่อ 1 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังสามารถขายพ่อแม่พันธุ์ได้อีกด้วย โดยจะส่งขายเป็นชุดเลี้ยงประกอบด้วย พ่อแม่พันธุ์ 10 ตัว อาหาร 3 กิโลกรัม พร้อมคู่มือการเลี้ยง จะขายในราคาพร้อมส่งอยู่ที่ 400 บาท
ปัจจุบันทางฟาร์มของคุณญา มีชุดเลี้ยงอยู่ประมาณ 500 ชุด สามารถผลิตตัวหนอนได้มากกว่า 300 กิโลกรัมต่อเดือน ส่งขายทั่วประเทศ จนสร้างรายได้เกือบแสนบาทต่อเดือน ทั้งนี้มองว่าอนาคตของด้วงสาคู จะโตขึ้นอีกอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันเริ่มมีกลุ่มพ่อค้าต่างชาติให้ความสนใจมากขึ้น
โดยหนอนด้วงสาคู สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด อาทินำไป คั่ว ทอด แกงหน่อไม้ แกงเห็ด ย่าง หรือรับประทานสดๆ ก็ได้เช่นกัน
ทั้งนี้หากใครสนใจอยากซื้อหนอนด้วงสาคู พ่อแม่พันธุ์ หรืออยากได้ความรู้เพิ่มเติม ซึ่งทางฟาร์มก็มีเปิดคอร์สอบรมเทคนิควิธีการเลี้ยงอย่างละเอียดให้กับผู้ที่สนใจ สามารถเดินทางไปได้ที่ด้วงสาคูฟาร์มมาดี จ.เพชรบุรี หรือเบอร์โทรศัพท์ 092-532-4544 คุณญา
พ่อแม่พันธุ์ด้วงสาคู
“หนอนด้วงสาคู” ขนาดพร้อมจำหน่าย

เมนูฮิตออเดอร์แน่น ! ‘เกี๊ยวซ่าไส้ทุเรียนหมอนทอง’ ร้านดังปากน้ำโพชวนชิม





ร้านดังปากน้ำโพชวนชิมรังสรรค์เมนู ‘เกี๊ยวซ่าไส้ทุเรียนหมอนทอง’ ยอดสั่งจองปังทั้งลูกค้าในจังหวัดและต่างจังหวัด
วันที่ 6 พ.ค. 2561 เจ้าของร้านเกี๊ยวชื่อดังใน จ.นครสวรรค์ เนรมิตเกี๊ยวใส้ทุเรียนหมอนทองเอาใจคนชอบรับประทานทุเรียน เป็นเกี๊ยวซ่าใส้ทุเรียนหมอนทอง โดยไอเดียนี้มาจาก นางสุไพรัตน์ วิเชียรกัลยารัตน์ อายุ 42 ปี เจ้าของร้านขายเกี๊ยว ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านดรีมแลนด์ ตำบลวัดไทร อำเภอเมืองนครสวรรค์
โดยนางสุไพรัตน์ เล่าว่าทางร้านปกติทำเค้กทุเรียนขายอยู่แล้ว แต่มาในปีนี้ได้ลองทำเกี๊ยวใส้ทุเรียนลองทานกับครอบครัวและให้ลูกค้าที่มาซื้อเกี๊ยวที่ร้านทานเป็นประจำปรากฎว่าได้รับการตอบรับที่ดีลูกค้าพอได้ทานแล้วกลับมาถามถึงเมนูเกี๊ยวใส้ทุเรียนตนเองและครอบครัวจึงตัดสินใจทำเกี๊ยวซ่าใส้ทุเรียนหมอนทองตามคำเรียกร้องของลูกค้า
โดยทางร้านขาย‘เกี๊ยวซ่าไส้ทุเรียนหมอนทอง’ ในราคากล่องละ 100 บาท มีเกี๊ยว 10 ตัว พร้อมเสริฟกับซอสที่จัดให้ลูกค้าถึง 3 แบบแล้วแต่ความชอบ โดยมีซอสทุเรียน ซอสช็อคโกแล็ต และนมข้น เอาใจคนชอบทานของหวาน และเรียกได้ว่าตอนนี้เป็นเมนูยอดฮิตของทางร้านเลยก็ว่าได้
ด้านวัตถุดิบที่ทางร้านเลือกใช้จะใช้ทุเรียนหมอนทองที่คัดเกรดมาแบบไม่สุกมากเนื้อจะออกห่าม ๆ ประกอบกับใช้เกี๊ยวสูตรของทางร้านห่อใส้ทุเรียนแล้วนำไปทอดในอุณหภูมิที่เหมาะสมแล้วเสริฟพร้อมซอสสูตรเด็ดของทางร้านแค่นี้ก็อร่อยจนฟินหยุดไม่อยู่ทำเอายอดสั่งปังทั้งลูกค้าในจังหวัดและต่างจังหวัดเรียกหาเมนูเด็ดของทางร้านกันอย่างคึกคักพร้อมสั่งจองได้ที่เบอร์ 081-8883654 รับประกันคนชอบทานทุเรียนต้องติดใจ.

ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกู๋เดือดชามยักษ์ ลูกค้าแน่นร้าน ฟันรายได้กว่าเดือนละแสน!




ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกู๋เดือดชามยักษ์ ในอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ลูกค้าแน่นร้าน ฟันรายได้กว่าเดือนละแสน!
วันนี้(4 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยัง ร้านกู๋เดือดก๋วยเตี๋ยวต้มยำชามยักษ์ ในพื้นที่ ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ขายดี ลูกค้าแห่อุดหนุนแน่นร้าน มีสูตรเฉพาะพิเศษที่ลูกค้าสามารถเลือกรับประทานได้ทั้งน้ำใส น้ำตก ต้มยำ และที่พิเศษไปกว่านั้น เป็นก๋วยเตี๋ยวชามยักษ์ สามารถเลือกน้ำได้ภายในชามสองแบบ เหมาะสำหรับรับประทานเป็นครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนๆ
นางลลิตา ลิลัยมนเดชา อายุ 38 ปี เจ้าของร้านกู๋เดือดก๋วยเตี๋ยวต้มยำชามยักษ์ กล่าวว่า เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว เพราะคิดว่าในเขตพื้นที่ตำบลหย่วน ยังไม่มีร้านก๋วยเตี๋ยวสไตล์แบบนี้ อยากให้ชาวบ้านได้กินของดี อร่อยและมีคุณภาพ จึงคิดค้นเมนูเด็ดคือ ก๋วยเตี๋ยวกู๋เดือดต้มยำชามยักษ์ ราคาชามละ 279 บาท รับประทาน 4-5 คน ใช้ชามตราไก่แบบโบราณขนาดพิเศษ มีทั้งต้มยำ ต้มยำน้ำข้น หรือมา 2 ท่าน สั่งแบบถ้วยเล็กเริ่มต้นที่ 35 บาท พิเศษ 40 บาท และยังมีเล้งเดือด ขาไก่ต้มแซบ หมูลวกจิ้ม 60 บาท หมูคัดเลือกอย่างดี สดใหม่ทุกวัน
ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำชามยักษ์ จะใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวทั้งหมด 7 แบบ ประกอบด้วย เส้นเล็ก เส้นหมี่ขาว และบะหมี่ เส้นใหญ่ หมี่ไข่ หมี่สด วุ้นเส้น มาม่า พร้อมกับใส่เครื่องทั้ง ถั่วงอก ลูกชิ้นหมู เนื้อหมู และหมูยอ ราดด้วยน้ำซุปต้มยำสูตรของทางร้าน รสชาติกลมกล่อมไม่เผ็ดจนเกินไป ลูกค้าสามารถรับประทานได้พร้อมกันถึง 5 คน จนได้กระแสตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างมาก ทำให้ลูกค้ามากินจนแน่นร้านทุกวัน โดยขายได้วันละ 80-100 ชาม สร้างรายได้ต่อเดือนไม่น้อยกว่า 100,000 บาท
สำหรับใครที่อยากไปลิ้มชิมรส ร้านกู๋ก๋วยเตี๋ยวต้มยำชามยักษ์เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 -20.00 น. โดยตั้งอยู่เลขที่ 364 หมู่ 2 ต.หย่วน อ.เชียงคำ จ.พะเยา ตรงข้ามกับ ธ.ก.ส. เชียงคำ หรือสามารถโทรสอบถามได้ที่ คุณลลิตา ลิลัยมนเดชา โทร.09-7490-9191